วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

AI613 Class10 lecture summary

Enterprise System, Supply Chain Management and Enterprise Resource Planning


          ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ การเชื่อมโยงของกิจกรรมการเพิ่มมูลค่าของแต่ละแผนก มักจะมีปัญหาเรื่องการสูญเปล่าและการขาดประสิทธิภาพ อีกทั้งการใช้เวลาระหว่างกิจกรรมที่ยาวเกินไป ทำให้ผลผลิตต่ำลง เกิดความยากลำบากในการรับรู้สถานภาพการทำงานของแผนกต่างๆ ได้ ทำให้การตัดสินใจในการลงทุนและบริหารทรัพยากรต่างๆ ทำได้ยากขึ้น การบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรไม่สามารถทำได้
          การที่แต่ล่ะแผนกมีระบบการทำงานที่แยกออกจากกัน ทำให้ระบบการทำงานของบริษัทไม่มีความสอดคล้องกัน ทำให้ต้องเสียเวลาที่เพิ่มมากขึ้นในการส่งต่อข้อมูล และทำให้เกิดปัญหาการกระจัดกระจายของข้อมูล ด้วยเหตุนี้ Enterprise Systems จึงเกิดขึ้น

Enterprise System
บริษัทจำเป็นพัฒนาระบบ สารสนเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้จริงในองค์กร รวมทั้งพิจารณาด้านการลงทุน ความคุ้มค่า เป็นต้น Functional Information System เป็นระบบพื้นฐานที่สุด ซึ่งระบบสารสนเทศของแต่ละบริษัทนั้นหน่วยงานสามารถพัฒนาขึ้นเอง ซื้อ หรือเช่ามาก็ได้ ซึ่งแต่ละแผนกอาจมีระบบสารสนเทศที่แยกออกจากกันได้ เนื่องจากมีรูปแบบการทำงาน การใช้งาน ลักษณะการตัดสินใจและอำนาจที่แตกต่างกันออกไป แต่หากมีระบบแยกกันก็จะทำให้มีข้อเสียคือ การมีฐานข้อมูลที่แยกกัน ทำให้เสียค่าดูแลรักษาและหากไม่มีการออกแบบที่ดี การประสานกันระหว่างระบบของแต่ละแผนกอาจไม่เข้ากันก็ได้
การมีระบบสารสนเทศแบบ Enterprise System ที่ดี จะสามารถรวมทุกกิจกรรมที่สำคัญของธุรกิจ (Key Process) และช่วยในการทำงานในทุกๆขั้นตอนในในห่วงโซ่ของมูลค่า (Value Chain) อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นได้ ระบบของ Enterprise system ได้แก่
  • Enterprise System (ERP) : ระบบจัดการบริหารงานภายในขององค์กร เช่น Oracle หรือ SAP ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังลูกค้าและผู้ขายได้ด้วย
  • Customer Relationship Management (CRM) : บริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
  • Knowledge Management Systems (KM) : บริหารงานภายในเพื่อพัฒนา องค์ความรู้ภายในองค์กร เช่น K-Business
  • Supply Chain Management (SCM) : บริหาร Supply Chain ตั้งแต่ผู้ผลิตแรกจนถึงลูกค้า
  • Decision Support Systems (DSS) : ช่วยในการตัดสินใจภายใน องค์กรแก่ผู้บริหาร เช่น ระบบส่งรถโดยคำนวณการใช้น้ำมัน การเดินทาง เพื่อให้ประหยัดน้ำมันมากที่สุด
  • Business Intelligence (BI) : การบริหารความรู้ภายในองค์กร เช่น จัดการอบรม มีการรวบรวมจากอีเมล์หรือการสื่อสารระหว่างบุคคลกันเอง
Supply Chain Management

การรวบรวมการวางแผนและการจัดการของกิจกรรมทั้งหมด ที่ไม่ใช่อยู่แค่การบริหารงานภายในองค์กร แต่ต้องรวมไปถึงให้ระบบเชื่อมต่อกับภายนอกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง เป็นต้น รวมถึงการประสานงาน (Coordination) และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) กับหุ้นส่วนต่างๆในโซ่อุปทาน ทำให้เกิดการบูรณาการ ทั้งการจัดการอุปสงค์และอุปทานซึ่งรวมถึงทั้งภายในและภายนอกบริษัทเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงสุด
  • Warehouse Management System (WMS) บริหารสินค้าในคลัง เช่น จำนวน ที่วางสินค้า การเข้าออกของสินค้า ควบคุมความปลอดภัย
  • Inventory Management System (IMS) การบริหารสินค้าคงคลังเพื่อวางแผนการสต๊อกในจำนวนที่ต่ำที่สุด เช่น EOQ ขนาดสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด หรือ ระบบ Just-in-time ที่ไม่มีการคง Inventory ไว้เลย
  • Fleet Management system ระบบการบริหารการส่งของ เพื่อให้ทราบอย่างรวดเร็ว และสามารถเช็คได้ว่ามีการส่งของในแต่ละที่เท่าไหร่ โดยใช้ RFID ตรวจสอบการส่งของจริงอีกครั้ง เช่น ส่งของภาคเหนือ อาจแวะส่งของที่แต่ละจังหวัดก่อน ต้องเช็คการส่งในแต่ละจังหวัดด้วยว่าลงอะไร เท่าไหร่ ส่งข้อมูลกลับไปที่สำนักงานใหญ่
  • Vehicle Routing and Planning คำนวณเส้นทางเดินรถขนส่ง เพื่อประหยัดน้ำมัน
  • Vehicle Based System บริหารจัดการรถบรรทุกในการตรวจสอบสถานะ สถานที่การเดินทางที่อยู่ปัจจุบัน เช่น ระบบ GPS ตรวจจับความเร็ว ระบุสถานที่
แนวโน้ม IT สำหรับ Supply Chain Management

1. Connectivity การเชื่อมต่อของข้อมูล สามารถทำผ่านเครื่องมือต่างๆเช่น wireless, bluetooth, GPRS
2. Advanced Wireless Voice & GPS ผ่านการใช้เสียงและ GPS เป็นการใช้งานได้มากขึ้นของเครื่องมือการสื่อสาร (Smart Phone) หรือ Tablet
3. Speech Recognition การสั่งงานด้วยเสียง เช่น Intermec บริษัทผลิตปริ้นเตอร์และพัฒนาสินค้าที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง ทำให้การใช้งานง่ายขึ้น
4. Digital Imaging การประมวลผลภาพดิจิตอล บริษัทขนส่งและกระจายสินค้า ใช้กล้องดิจิตอลเชื่อมรวมกับคอมพิวเตอร์แบบพกพา ดังนั้นพนักงานขับรถสามารถบันทึกข้อมูลการจัดส่ง จัดเก็บใบเสร็จที่ประทับตรา และรายละเอียดของเงื่อนไขที่ใช้ในการป้องกันการส่งสินค้า เช่น ดิจิตอลคาเมรา สมาร์ทโฟนในการถ่ายรูป ทำให้อาจมีการทำใบเสร็จออนไลน์ได้เลย ออกเป็นภาพดิจิตอล ส่งเข้าองค์กรได้สะดวกมากขึ้น
5. Portable Printing สามารถทำเป็นใบเสร็จและ ติดต่อกลับเข้าที่สำนักงานใหญ่ได้ทันที เช่น ธุรกิจประกัน (ในต่างประเทศ) โดยสามารถอัพเดทข้อมูลเข้าฐานข้อมูลได้ทันที
6. 2D & other barcoding advances บาร์โค้ด 2 มิติจะสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กรได้ดีกว่าแบบอื่น
7. RFID ชิปฝังอยู่ในบัตรหรือแถบ สินค้า บัตรทางด่วน กล่องสินค้า สามารถสแกนอ่านข้อมูลได้ว่ามีสินค้าอยู่จำนวนเท่าไหร่ มาจากที่ใด เป็น เทคโนโลยีสำคัญของระบบการบริการห่วงโซ่
8. Real Time Location System RTLS ระบบแสดงตำแหน่งเวลาจริง ใช้ร่วมกับ RFID ทำให้องค์กรสามารถขยาย เครือข่าย ป้องกันการโจรกรรมได้
9. Remote Management การจัดการทางไกล การใช้ระบบแลนไร้สายเพื่อติดตามสินทรัพย์ของคลังสินค้าและโรงงาน เป็นตัวอย่างของการปรับใช้ทรัพยากรไอทีให้เป็นประโยชน์กับสภาพแวดล้อม อุตสาหกรรม อีกตัวอย่างคือระบบการจัดการระยะไกลประสิทธิภาพสูงได้รับการพัฒนาเฉพาะเพื่อ กำหนดค่า ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาเครื่องอ่านและเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด อุปกรณ์อาร์เอฟไอดี คอมพิวเตอร์ที่ทนทาน และอุปกรณ์การเก็บและสื่อสารข้อมูลอุตสาหกรรมอื่น
10. Security ความปลอดภัยของอุปกรณ์และเครือข่ายไร้สาย ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเป็นแนวโน้มและความต้องการของธุรกิจที่กำลังได้รับ ความนิยมในการนำมาใช้เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีซัพพลายเชน โดยคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่จะถูกล็อคไม่ให้มีการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าและข้อมูล อื่นๆ ได้ในกรณีที่อุปกรณ์หายหรือถูกขโมย คอมพิวเตอร์ไร้สายที่ทนทานและอุปกรณ์เก็บรวบรวมข้อมูลยังสนับสนุนความ ปลอดภัยชั้นนำหลายอย่าง ที่สอดคล้องกับระบบป้องกันเครือข่ายไร้สายองค์กร
Supply Chain Management and Its Business Value
จากการที่ทุกหน่วยงานมีการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูล ร่วมกัน เช่น Wal-Mart ให้คู่ค้าสามารถเข้าดูข้อมูลสินค้าของคนเองที่อยู่ Wal-Mart ได้ เพื่อความสะดวกในการรับส่งสินค้า ซึ่งเป็นการ Collaborative Planning ผ่านการออกแบบการส่งข้อมูล และสินค้าร่วมกัน สามารถประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่จะเป็น รวมทั้งผ่านการจัดการ Vendor Managed Inventory (VMI) ระหว่างคู่ค้าด้วยกันเองด้วย

ERP System Vendors
เช่น SAP, Oracle เวลาบริษัทซื้อโปรแกรม ERP ซื้อเป็น Module โดยจะซื้อเพื่อนำมาปรับใช้กับส่วนที่สำคัญๆเท่านั้น และจะไม่ซื้อทั้งหมด เพราะ
1. ราคาของระบบเหล่านี้สูงมาก
2. ปกติองค์กรจะมีระบบ สารสนเทศอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเอาระบบใหม่มาลงพนักงานก็ต้องใช้ทั้ง 2 ระบบ
3. ต้องมีการ Customize ปรับปรุงให้เข้ากับลักษณะ การทำงานขององค์กร
Major ERP Modules
  • Sales and Distribution (Records customer orders, shipping, billing, connections, based on SAP)
  • Material Management
  • Financial Accounting
  • Human Resources (Recruiting, payroll)
  • Third-Party (CRM, Customer Self-Service, Sales Force Automation)
________________________________________________________________________
Presentation
Augmented Reality
           เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนารูปแบบ Human-Machine Interface ที่อาศัยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) โดยที่วัตถุเสมือนนั้นๆ จะถูกสร้างมาผสมกับสภาพในโลกจริงในรูป 3D และแสดงผล แบบ real time โดย AR สามารถใช้งานผ่านทางอุปกรณ์ Web-cam กล้องมือถือ Computer รวมกับการใช้ software ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ภาพที่เห็นในจอภาพจะเป็น object (คน,สัตว์,สิ่ง ของ,สัตว์ประหลาด,ยานอวกาศ) ในรูป 3 มิติ ซึ่งมีมุมมองถึง 360 องศากันเลยทีเดียว ฉะนั้นเทคโนโลยี AR นี้ จะสามารถทำให้ผู้ใช้เห็นภาพเสมือนจิงได้รอบด้าน 360 องศา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเดินไปสถานที่จริงเลยแม้แต่น้อย 


Mobile Operating System

           เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไป มีหน้าที่หลัก ๆ คือ จัดสรรทรัพยากรในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในเรื่องการรับส่งและจัดเก็บข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ หรือจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำ ตามที่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ร้องขอ รวมทั้งทำหน้าที่จัดสรรเวลาการใช้หน่วยประมวลผลกลาง ในกรณีที่อนุญาตให้รันซอฟต์แวร์ประยุกต์หลายๆ ตัวพร้อมๆ กัน ระบบปฏิบัติการมือถือหลักๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันได้แก่

1. Symbian OS (Nokia)
เป็นระบบปฏิบัติการ mobile OS ที่รองรับเทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สาย และออกมาแบบขึ้นมาเพื่อใช้บนโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลักในการรับ- ส่งข้อมูล เป็นระบบที่ใช้งานง่าย ประหยัดพลังงาน ใช้หน่วยความจำขนาดเล็ก มีความปลอดภัยสูง ปัจจุบัน Symbian OS เป็น Open source เต็มตัว โดยเปิดโอกาสให้นักพัฒนา software สามารถที่สนใจ พัฒนาโปรแกรมต่างๆบน Symbian OS ได้ มี User Interface เรียบง่าย ใช้งานง่าย มีฟังก์ชั่นการใช่งานพื้นฐานที่ครบครัน ติดตั้ง application รวม ทั้งไฟล์ภาพ เสียง ภาพยนต์ หรือเพลง ได้อย่างสะดวก มีการจัดสรรทรัพยากรหน่วยความจำในเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาให้รองรับการสั่งงานแบบ multitask เหมือน iPhone เหมาะกับผู้ที่ใช้งาน function โทรศัพท์ แบบพื้นฐานเป็นหลัก และชื่นชอบความสะดวกสบายในการติดตั้งโปรแกรมหรือลงเพลงต่างๆ รวมถึงผู้ที่ต้องการระบบปฏิบัติการที่รองรับการใช้งานหลากหลาย
2. BlackBerry OS (RIM OS)
เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มุ่งเน้นให้มีการทำงานที่ไม่ซับซ้อน และการพัฒนาในช่วงแรกนั้น ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในธุรกิจ เน้นการใช้งานด้าน E-mail เป็นหลัก โดยรองรับการใช้งาน Push mail เมื่อมี e-mail เข้ามาสู่ระบบ Server จะทำการส่ง ต่อมายัง BlackBerry โดยจะมีการเตือนสถานะที่หน้าจอ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลในทันที ทั้งนี้ระบบ e-mail ของ BlackBerry จะมีความปลอดภัยสูงด้วย การเข้ารหัสข้อมูล ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ระบบปฏิบัติการ BlackBerry พัฒนาในส่วนของการสนับสนุน multimedia ต่างๆ มากขึ้น
มีระบบการ Chat ผ่าน BlackBerry Messenger ซึ่งจะทำหน้าที่พิมพ์ข้อความสนทนากับผู้ที่ใช้ BlackBerry เหมือนกันแบบ real-time และสามารถ เชื่อมต่อกับ internet พร้อมกับมีการเปิดให้รับ-ส่งข้อมูลกับเครือข่ายมือถือตลอดเวลา ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องติดต่องานต่างๆ ผ่าน e-mail รวม ถึงเหมาะกับวัยรุ่นที่ชื่นชอบการ chat กับกลุ่ม เพื่อน
3. iPhone OS
iOS ในชื่อเดิม iPhone OS เป็นระบบปฏิบัติการที่สามารถเชื่อมต่อไปยังแอปสตอร์ สำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชั่น มากกว่า 225,000 ตัว เวอร์ชั่นของ iOS บนไอโฟนนั้น เริ่มตั้งแต่เวอร์ชั่น 1.0 แล้วก็มีหลายเวอร์ชั่น ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นของผู้ใช้ และเพื่อแข่งขันกับบริษัทโทรศัพท์มือถืออีกหลายบริษัท โดยเวอร์ชั่นปัจจุบันของ iOS คือ 4.0.2 (เวอร์ชั่นที่สามารถใช้ได้จริง) ระบบปฏิบัติการจากไอโฟน มีรูปแบบการใช้งานที่ง่าย และแฝงไปด้วยลูกเล่นมากมาย มีความสามารถที่โดดเด่นของระบบ Multitouch และมีจุดเด่นที่ความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นการ ดูหนัง ฟังเพลง ผนวกเข้ากับแอพลิเคชั่น และ เกมต่างๆ อีกมากมายบนแอพสโตร์ นอกจากนั้นยังรองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถใช้อินเตอร์เน็ต เช็คอีเมล์ หรือเข้าสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และ Twitter ได้อย่างสะดวก ถึงอย่างไรก็ดี iOS มี ข้อเสียคือ ยังไม่รองรับ แฟลช ทำให้แสดงผลแฟลชเว็บไซต์ได้ไม่เต็มที่ และด้วยความที่เป็นระบบปิด การติดตั้งโปรแกรมหรือลงไฟล์สื่อต่างๆ จะต้องผ่านโปรแกรม iTunes ซึ่งอาจจะทำให้ไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
4. Windows Phone / Windows Mobile OS
Windows Phone นั้นประกอบไปด้วย Application และซอฟต์แวร์ต่างๆของ Microsoft สำหรับมือถือในการใช้งานทั่วไป เช่น Internet Explorer Mobile สำหรับเข้าชมเว็บไซต์ หรือซอฟต์แวร์สำหรับการทำงานเช่น Microsoft Office Mobile ช่วยให้ชีวิตของผู้ใช้ง่ายขึ้นแม้ไม่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เช็คอีเมล ติดต่อกับเพื่อนและครอบครัวผ่านระบบ IM หรือ แม้แต่โทรติดต่อกัน นอกจากนั้นยังช่วยให้เรียกใช้Application ต่างๆตั้งแต่ Office Word, Excel, PowerPoint หรือ OneNote ได้อีกด้วย ถึงอย่างไรก็ดี Windows Phone ยังไม่เป็น Open source เนื่องจากติด เรื่องลิขสิทธิ์ ทำให้การพัฒนาต่อยอดเป็นไปได้ ยากกว่า OS ที่เป็น Open source ระบบนี้มีจุดเด่น คือ
- ง่ายต่อการใช้งาน และสามารถ synchronize เข้ากับ PC ได้อย่างดี ทำให้สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
- บริหารจัดการ Global Positioning System (GPS) ในตัว
- รองรับการใส่ภาพใน Caller ID ในตัว
- รองรับความสามารถ “push” ร่วมกับ Microsoft Exchange Server ทำให้อีเมล์หรือข้อมูลใหม่ส่งมาที่ เครื่องทันที โดยไม่ต้องคอยตรวจสอบทางเซิร์ฟเวอร์ว่ามีข้อมูลใหม่มาหรือไม่
- บริหารจัดการและรองรับบลูทู ธในตัว
- เพิ่มความสามารถ Error-Reporting สำหรับส่งรายละเอียดข้อผิดพลาดไปยังผู้พัฒนาในกรณีที่มี ข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
5. Android
เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจาก Google โดยมีพื้นฐานจากระบบปฏิบัติการ Linux โดย มีการพัฒนาต่อยอด พร้อมทั้งเปิดเผย Source Code เป็น แบบ Open Source เพื่อให้นักโปรแกรมเมอร์ภายนอกสามารถปรับปรุงพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ Android มีแนวคิดที่จะนำคุณสมบัติ ของโทรศัพท์มือถือ รวมเข้ากับบริการต่างๆ ของ Google ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานแก่ผู้ใช้ และยังถูกออกแบบให้มีความสามารถใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์ขนาดย่อม โดยยังคงเรื่องความคล่องตัวในการใช้งานค่อนข้างมาก
ด้วยความที่ Android เป็นระบบปฏิบัติการจาก Google จึงรองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ เพื่อใช้บริการจากกูเกิ้ลได้อย่างเต็มที่ ทั้ง Search Engine, Gmail, Google Calendar, Google Docs และ Google Maps เป็นต้น นอกจากนี้ Android ยัง เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Open Source ซึ่งทำให้ซอฟท์แวร์ของทางแอนดรอยด์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็มีโปรแกรมต่างๆ กว่า 20,000 โปรแกรม ให้ได้เลือกใช้งาน ระบบ ปฏิบัติการแอนดรอยด์จึง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้งานบริการต่างๆ จากทางกูเกิ้ล รวมทั้งต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานระดับเริ่มต้นเพราะวิธีแก้ปัญหาทางเทคนิคของ แอนดรอยด์นั้นยังไม่แพร่หลายเท่าใดนัก
ความสำเร็จ  
          จากการสำรวจ ตลาด Mobile OS ของ IDC พบ ว่า ในปี 2010 Symbian จะยังคง Market Share อันดับหนึ่ง ตามมาด้วย BlackBerry OS และ Android ที่มี Market Share ใกล้เคียงกัน แต่แนวโน้มในอนาคตคาดว่า Android จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจาก แนวโน้มในอนาคตของตลาดโทรศัพท์มือถือนั้นมีแนวโน้มที่จะนิยม OS ในรูปแบบ Open source มากกว่า ซึ่งก็ตรงกับลักษณะของ Android และ Symbian ในขณะที่ OS ที่เป็น Single source อย่าง IOS (Apple) กับ RIM (BlackBerry) นั้น แม้ว่ายอดขายโทรศัพท์มือถือของ Apple กับ BlackBerry จะเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง แต่ส่วนแบ่งการตลาดในอนาคต RIM และ IOS อาจจะไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนัก โดยคาดว่าจะครองส่วนแบ่งทางการตลาด OS รองจาก Symbian และ Android


Video Telepresence

           คือ เทคโนโลยีที่พัฒนามาจากระบบวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นในปีค.ศ.1960 และ เริ่มใช้งานจริงในปีค.ศ.1980 ซึ่งโดยหลักการแล้ว เทเลพรีเซ็นส์ใช้เทคโนโลยีพื้นฐานเดียวกับวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ แต่มีความต่างขององค์ประกอบของระบบที่ชัดเจน 3 ด้าน คือ network technologies, conference hardware, conference software ซึ่ง เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ากว่าทำให้เทเลพรีเซ็นส์ให้ภาพที่สมจริงกว่า อรรถประโยชน์ที่สูงกว่า และการติดตั้งต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมการใช้งานที่เหนือกว่าวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์

Service-Oriented Architecture
            SOA (Service-Oriented Architecture) หมายถึง สถาปัตยกรรมเชิงบริการ เป็นแนวคิดการออกแบบและวางโครงสร้างของซอฟต์แวร์ขององค์กรขนาดใหญ่ในลักษณะ ที่เอื้อให้ผู้ใช้สามารถหยิบเอาเฉพาะเซอร์วิส (Service) ที่ ต้องการซึ่งเป็นองค์ ประกอบของซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ มารวมกันเป็นแอพพลิเคชันใหม่ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะอย่างได้อย่าง ยืดหยุ่น รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตามหลักการของการนำกลับมาใช้ใหม่ (Reusability)


การอธิบายแนวคิด SOA สามารถแบ่งได้ เป็น 2 คำ คือ Service-Oriented และ Architecture

- Service-Oriented เป็น Software ที่ไม่ใช่ซอฟต์แวร์แพ็ค เกจ แต่เป็นซอฟต์แวร์ตัวเล็ก ทำงานเฉพาะด้าน ขึ้นอยู่กับว่าจะแบ่งเป็นบริการอะไรบ้าง
- Architecture คือ การออกแบบ โดยจะมององค์กรโดยรวมว่าต้องการบริการอะไรบ้าง ก็จะแบ่งบริการนั้นๆออกเป็นส่วนย่อยๆ

ทั้งนี้ หลายคนมองว่า SOA คือ web service แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เพราะ web service เป็นแค่เครื่องมือในการใช้งาน ดังนั้น SOA จึงไม่ใช่สินค้า หาซื้อไม่ได้ แต่มันคือแนวคิดที่ต้องสร้างเองในองค์กร

ปัจจุบัน SOA (Service-Oriented Architecture) เป็น หลักการการออกแบบสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ที่มีการพูดถึงกันมาก โดยหลายๆ องค์กรพยายามที่จะออกแบบระบบทางด้านไอทีให้เข้าสู่ระบบ SOA แต่เนื่องจาก SOA เป็นหลักการในการออกแบบ ดังนั้นการทำความเข้าใจและนำไปพัฒนาให้ใช้งานได้จริงนั้น ยังเป็นเรื่องที่ยาก จนเมื่อเว็บเซอร์วิส (Web Service) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการพัฒนาตามหลักการของ SOA เกิดขึ้นมา จึงทำให้แนวคิด SOA ได้รับ ความนิยมขึ้นมาอย่างมาก จนบางครั้งทำให้หลายๆ คนคิดว่า SOA และ web service เป็นเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว SOA เป็นแนวคิดหรือรูปแบบในการออกแบบการให้บริการ ส่วนเว็บเซอร์วิสเป็นวิธีการหนึ่งในการพัฒนาตามหลักการของ SOA เท่านั้น ทั้งนี้อาจใช้แนวทางอื่นในการพัฒนาระบบ SOA ก็ได้ เช่นการใช้ CORBA (Common Object Request Broker Architecture) หรือ Java RMI (Remote Method Invocation


ศุลี พิเชฐสกุล

5202113014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น